วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

10 สถานที่สำคัญของประเทศจีน

1. The Forbidden City
The Forbidden City 10 อันดับ สถานที่ท่องเที่ยวของจีน ที่ไม่ควรพลาด !
        
            “The Forbidden City” หรือ นครต้องห้าม ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน และอยู่ทางตอนเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้แต่ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า “พระราชวังต้องห้าม” จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต

2. The Great Wall
The Great Wall 10 อันดับ สถานที่ท่องเที่ยวของจีน ที่ไม่ควรพลาด !
    
            “The Great Wall” หรือ ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ“กำแพงเมืองจีน” บ้างก็เรียกว่า“กำแพงหมื่นลี้” เพราะมีความยาวถึง 6,350 กิโลเมตร กำแพงเมืองจีนสร้างเมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยฮ่องเต้องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย

3. The Terracotta Warriors
The Terracotta Warriors
      
             “The Terracotta Warriors” หรือ “สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้” สุสานของจอมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน เป็นสุสานที่เต็มไปด้วยหุ่นดินเผาของทหารและม้านับหมื่น เล่ากันว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้” มีพระบัญชาให้สร้างมหาสุสานเพื่อเป็นที่พักผ่อนชั่วนิรันดร์ โดยใช้ช่างฝีมือและคนงานกว่าเจ็ดแสนคนปั้นหุ่นทหารจากแบบที่เป็นคนจริง เมื่อปั้นเสร็จคนที่เป็นแบบจะถูกสังหารให้วิญญาณมาสถิตในหุ่นเพื่อพิทักษ์ สุสาน ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบที่ฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ และที่นี่ก็กลายมาเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ตะลึงกันทั่วโลก

4. Karst Mountains in Yangshuo
Karst Mountains in Yangshuo
  
             “Karst Mountains” ในเมืองหยางโจว เป็นภูเขาที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก ตั้งอยู่ที่มณฑลกวางซีซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน ทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของที่นี่คือการมองจากหยางโจว เขตเทศบาลเล็กๆ บริเวณชานเมือง“กุ้ยหลิน” ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลกวางซี

5. Hangzhou – Paradise on Earth
Hangzhou - Paradise on Earth
  
            “หางโจว” (Hangzhou) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน เป็นสวรรค์บนดินที่ล้อมรอบด้วย“ทะเลสาบซีหู” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุด

6. Jiuzhaigou
           
Jiuzhaigou

            “จิ่วจ้ายโกว” (Jiuzhaigou) เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีทะเลสาบที่สวยมหัศจรรย์เหลือจะบรรยาย ยิ่งในฤดูใบไม้ร่วง สีเหลืองของใบไม้สะท้อนผ่านสีเขียวของผืนน้ำ เกิดเป็นภาพที่สะกดทุกสายตา จนในปี พ.ศ. 2535 องค์การยูเนสโกได้ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นมรดกโลก และเป็น World Biosphere Reserve ใน พ.ศ. 2540

7. Potala Palace, Lhasa
Potala Palace, Lhasa
    
             “พระราชวังโปตาลา” ตั้งอยู่ที่กรุงลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน ปราสาทนี้ถูกสร้างในลักษณะของวังซ้อนวัง พระราชวังวงนอกเรียกว่า วังขาว เพราะทาสีขาว สร้างเสร็จ ปี ค.ศ. 1648 พระราชวังชั้นในเรียกว่า วังแดง ได้ชื่อตามผนังที่ทาสีแดง สร้างที่หลังวังขาวเกือบ 50 ปี ปัจจุบันพระราชวังโปตาลา กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานสักการะ ภายในวังขาว มีสำนักงาน โรงเรียนศาสนา ส่วนวังแดงเป็นส่วนที่ยังใช้ประกอบพิธีกรรมอยู่ เป็นศูนย์รวมใจของโปตาลา

8. The Bund, Shanghai
The Bund, Shanghai

            “The Bund” (The Bund เป็นภาษาเยอรมันหมายถึงจุดนัดพบ) หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “Waitan” คือพื้นที่ที่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ Huangpu ทิวทัศน์ที่น่าสนใจบริเวณนี้ก็คือเหล่าตึกที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปในยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “An International Exhibition of Architecture” หรือนิทรรศการแสดงสถาปัตยกรรมนานาชาติ

9. Giant Pandas and Chengdu
Giant Pandas and Chengdu

             อยากชิมอาหารพื้นเมืองอันมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ไม่ควรพลาด“เฉิงตู” หนึ่งในเมืองสวยงามและเป็นแหล่งที่รวมอาหารเด็ดที่สุดในซีอาน พร้อมสัมผัสแพนด้ายักษ์อย่างใกล้ชิดที่สถาบันวิจัยการผสมพันธุ์สัตว์

10. Modernity in Hong Kong
Modernity in Hong Kong

            “ความล้ำสมัยที่สุดของจีนสัมผัสได้จากฮ่องกง” เชื่อกันว่าหากอยากเห็นภาพตระการตาและไฮเทคของบ้านเมืองพี่จีน ให้ข้ามไปที่เกาะเกาลูน ฝั่งฮ่องกงแล้วมองกลับมา และภาพนั้นจะปรากฏอยู่ตรงหน้า

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

ประวัติโดยย่อของประเทศจีน

        

 ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก คือ 1,200 ล้านคน นั่นหมายความว่าประชากรหนึ่งในห้าของโลกเป็นประชากรจีน จีนเป็นประเทศที่มีประชากรหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกัน ร้อยละ 93 ของประชากรทั้งหมดเป็นชาวจีนฮั่น ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 7 เป็นชนกลุ่มน้อย 55 เชื้อชาติที่มีพื้นฐานทางขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา และวัฒนธรรมที่ต่างจากชาวจีนฮั่น ตามรัฐธรรมนูญแล้ว คนเหล่านี้ได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างในฐานะคนกลุ่มน้อย สิทธิที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือสิทธิในการพูดภาษาถิ่นของตน แต่คนกลุ่มน้อยในปัจจุบันก็แทบจะไม่ได้ใช้ภาษาของตนเอง สำหรับคนส่วนใหญ่การพูดและเขียนภาษาจีนกลาง คือใบเบิกทางสู่การศึกษาและการเลื่อนสถานภาพทางสังคม นโยบายของรัฐที่ว่าไม่ควรมีการเข้าใช้พื้นที่ในถิ่นฐานเก่าแก่ของชนกลุ่มน้อย เพื่อให้ชนกลุ่มน้อยได้มีโอกาสดำเนินชีวิตตามความเชื่อและประเพณีของตน ทำให้ดูเหมือนว่าชนกลุ่มน้อยได้รับการยกย่องและได้สิทธิอันควรจากชาวจีน หากลักษณะที่เป็นชาตินิยมและประเพณีนิยมของชาวจีนมิได้เปิดโอกาสให้วัฒนธรรมอื่นอย่างจริงจัง โดยโรงเรียนของชนกลุ่มน้อยมีเพียงไม่กี่แห่ง มหาวิทยาลัยที่มีการสอนภาษาถิ่นนั้นแทบจะไม่มีเลยเป็นการแสดงให้เห็นถึงความคิดพื้นฐานดั้งเดิมของจีนที่เชื่อกันว่าวัฒนธรรมจีนคือวัฒนธรรมหนึ่งเดียว จะมีอยู่สองกลุ่มที่เด่นคือ ชาวทิเบต และชาวอูเคอร์ ทิเบตเป็นเพียงพื้นที่แห่งเดียวของชนกลุ่มน้อยเป็นเสียงข้างมากของประชากร(คนเชื้อสายทิเบตมีอยู่ถึง ร้อยละ 98 ) แบ่งเป็นสองส่วน คือทิเบตตอนนอกและทิเบตตอนใน ชาวทิเบตมีอยู่ทั้งหมด 3.9 ล้านคน ประมาณครึ่งหนึ่งของที่อาศัยอยู่ในทิเบต ที่เหลืออยู่ในพื้นที่ที่เป็นทิเบตตอนนอก ชาวอูเคอร์ตั้งเขตปกครองตนเองอยู่ในมณฑลซินเจียง ชาวอูเคอร์เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมากที่สุด เพียง ร้อยละ 45 ของประชากรทั้งหมด กลุ่มมุสลิมจะเป็นเสียงข้างมากก็ต่อเมื่อรวมชาว อูเคอร์เข้ากับชาวคาซาค ชาวเคอร์จิซ ชาวซาลารีย์ และกลุ่มมุสลิมอื่นๆ ชาวหุย เป็นชนมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่ง ชาวหุยส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ทุรกันดารทางตอนใต้ของแคว้น ชาวหุยจะเป็นกลุ่มชนชาติจีนที่นับถืออิสลาม บริเวณมองโกเลียปัจจุบันมีชาวฮั่นมากถึง ร้อยละ 80 พื้นที่แห่งนี้มีชาวมองโกลมากกว่าในประเทศสาธารณรัฐมองโกเลียซึ่งเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน กลุ่มชนเร่ร่อนส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้คือคนเชื้อสายมองโกล ในขณะที่กสิกรและกลุ่มคนที่มีฐานที่อยู่เป็นหลักแหล่งเกือบทั้งหมดเป็นชาวจีนฮั่น เขตแคว้นปกครองตนเองแห่งกว่างซี  ถูกจัดว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของชาวจ้วง  แต่ชนกลุ่มนี้กลับเป็นชนกลุ่มน้อยของแคว้นของตน ชนชาตินี้เป็นชนชาติที่ถูกดูดกลืนทางวัฒนธรรมมากที่สุด วัฒนธรรมของชาวจ้วงจึงมีหลงเหลือเพียงในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น